วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2554

พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2


พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 (หรือ สุริยวรรมันที่ 2 ) กษัตริย์เขมร ครองราชย์ ในช่วง พ.ศ. 1656 - พ.ศ. 1693 เป็นพระโอรสของพระเจ้ากษิตินทราทิตย์ และพระนางนเรนทราลักษมี ทรงมีชื่อเสียงในฐานะผู้สร้างศาสนสถานและปฏิรูปศาสนา ในรัชสมัยของพระองค์ยังได้ทรงสร้างปราสาทนครวัด อันเป็นสิ่งก่อสร้างทางศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในโลก นอกจากนั้น พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ยังทรงสร้างศาสนสถานมหึมาอีกหลายแห่ง เช่น ปราสาทบึงมาลา ปราสาทพระพิธู ปราสาทเจ้าสายเทวดา ปราสาทบันทายสำเหร่ ปราสาทธัมมานน ซึ่งอยู่ในอาณาบริเวณพระนครหลวง อีกทั้งยังได้สร้างปราสาทวัดภู ในลาว เพิ่มเติมจากสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ด้วย
พระราชประวัติ
พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ทรงประสูติเมื่อราวคริสต์ศควรรษที่ 11 มีพระราชบิดาชื่อ กษิตินทราทิตย์ พระราชมารดาชื่อ นเรนทราลักษมี ทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรขอม ครองราชย์ต่อจากพระเจ้าธรณินทรวรมันที่ 1
เหตุที่เรียกพระนามว่า ปรมวิษณุโลก
ตลอดรัชสมัยของพระองค์เต็มไปด้วยการศึกสงคราม ดังภาพสลักที่ปรากฏบนระเบียงปราสาทนครวัด เช่นการทำสงครามกับอาณาจักรไดเวียด อาณาจักรจามปา และการยกทัพเข้าโจมตีอาณาจักรไดเวียดครั้งที่ 2 นี่เอง พระองค์ทรงพระประชวรในระหว่างทาง และสวรรคตกลางป่า เชื่อว่าพระองค์อยู่ในราชสมบัตินานกว่า 50 ปี และได้ทรงฉลองพระนามภายหลังสวรรคตว่า ปรมวิษณุโลก
ขึ้นครองราชย์
พระเจ้าสูรยวรมันที่ 2 ทรงเอาชนะผู้อ้างสิทธิในพระราชบัลลังก์ นั่นคือ พระเจ้าหรรษวรมันที่ 3 และพระเจ้าธรณินทรวรมันที่ 1 และเสด็จขึ้นครองราชย์ ผนวกดินแดนต่างๆ หลังจากแตกแยกกันไปกว่า 50 ปี ทรงเข้าพิธีราชาภิเษกเมื่อ พ.ศ. 1656 โดยมีพระมหาราชครูผู้ทรงอำนาจ คือ ทิวกรปัณฑิต เป็นพราหมณ์ผู้ทำพิธี พระเจ้าสูรยวรมันทรงเป็นกษัตริย์ผู้ปฏิรูปศาสนา โดยผสมผสานลัทธิบูชาพระวิษณุและพระศิวะเข้าด้วยกัน และบังเกิดเป็นไวษณพนิกายขึ้น แทนที่จะเป็นพุทธศาสนามหายาน ซึ่งเคยรุ่งเรืองมาก่อนหน้านี้ไม่นานนัก
นครวัด
ปราสาทนครวัดนั้น ก็สร้างขึ้นเพื่อบูชาพระวิษณุ โดยเริ่มสร้างขึ้นในช่วงต้นของรัชสมัยของพระองค์ และก่อสร้างต่อไปกระทั่งเสด็จสวรรคต แต่ก็ยังสร้างไม่เสร็จ ปราสาทนครวัดนั้นมีกำแพงและบารายล้อมรอบ ตัวอาคารเองยังประดับประดาด้วยพระรูปของพระเจ้าสูรยวรมัน ในภาคของพระวิษณุ เป็นภาพพระองค์กำลังทอดพระเนตรกองทัพ ออกว่าราชการ และกระทำพิธีต่างๆ พระเจ้าสูรยวรมันยังโปรดเกล้าฯ ให้สร้างปราสาทหินอื่นๆ อีกหลายแห่ง ในลักษณะคล้ายนครวัด ในรัชสมัยของพระองค์ ยังได้ทรงสร้างปราสาทวัดภู (ปัจจุบันอยู่ในแขวงจำปาศักดิ์ ของ ส.ป.ป. ลาว) ต่อจากรัชสมัยพระเจ้าสูรยวรมันที่ 1 (แต่ก็ไม่สำเร็จสมบูรณ์)
ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ
ในปี พ.ศ. 1659 พระเจ้าสูรยวรมันได้ทรงรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีน ซึ่งความสัมพันธ์ร้าวฉานลงในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 โดยได้ส่งเครื่องราชบรรณาการไปยังราชสำนักจีน
นับแต่ พ.ศ. 1666 ถึง พ.ศ. 1679 พระเจ้าสูรยวรมันที่ 2 ได้ทรงยกทัพไปโจมตีไดเวียต แต่ไม่ประสบความสำเร็จ อาณาจักรเวียดนามในเวลานั้นได้ประกาศเอกราชจากจีน เมื่อ พ.ศ. 1482 และในปี พ.ศ. 1671 พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ได้ส่งกองกำลังราว 20,000 คนไปรบไดเวียด ที่เมืองเญอัน แต่ก็ถูกต่อต้านพ่ายแพ้กลับมา ไม่กี่เดือนต่อมา กองทัพเรือกว่า 700 ลำก็เริ่มเดินทางไปตลอดชายฝั่งเลียบอ่าวตังเกี๋ย พระเจ้าสูรยวรมันทรงบังคับให้อาณาจักรจามปาสนับสนุน ครั้นเมื่อ พ.ศ. 1675 ทรงรวบกำลังของกัมพูชาและจามปาเข้าด้วยกัน เพื่อบุกเมืองเญอัน แต่ก็พ่ายแพ้ ครั้นใน พ.ศ. 1679 กษัตริย์จามปา ทรงพระนามว่า ชัยอินทรวรมันที่ 3 ได้ผูกความสัมพันธ์กับอาณาจักรไดเวียต และไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้าสุริยวรมันอีกต่อไป
เมื่อปี พ.ศ. 1687 พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ได้โจมตีและครอบครองอาณาจักรจามปาสำเร็จ เพราะเห็นว่าจามปาทรยศหักหลัง ในปีต่อมาจึงได้ผนวกจามปาเข้ากับอาณาจักรกัมพูชา และให้พระเจ้าหริเทว ซึ่งเป็นพระชามาดา (ลูกเขย) ขึ้นครองบัลลังก์จาม ที่เมืองวิชัย ครั้นเมื่อ พ.ศ. 1690 จามปาได้สถาปนากษัตริย์ของตนขึ้น คือ พระเจ้าชัยหริวรมันที่ 1 เมื่อพระเจ้าสูรยวรมันที่ 2 ทรงทราบข่าว ก็ส่งกองทัพจามและกัมพูชาจากเมืองวิชัยไปปราบ พระเจ้าชัยหริวรมันที่ 1 ออกมาตั้งรับ ครั้นได้รับชัยชนะ ก็ส่งกองทัพเคลื่อนขึ้นทางเหนือไปยึดเมืองวิชัย และสังหารทหารทั้งหมดของจามและกัมพูชา ที่เมืองมหิส หริเทวและทหารทั้งหมดถูกสังหารเช่นกัน
เสด็จสวรรคต
พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 เสด็จสวรรคตเมื่อ พ.ศ. 1693 ขณะกำลังยกทัพไปโจมตีจามปา ในภายหลัง ได้รับการสถาปนาพระนามาภิไธยเป็น พระเจ้าปรมวิษณุโลก และยังได้รับการยกย่องนับถือว่าเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่องค์หนึ่งของเขมร ในฐานะที่ได้สถาปนาและปฏิรูปศาสนาขึ้น สำหรับสงครามกับต่างประเทศนั้น ไม่ประสบความสำเร็จเลยในรัชสมัยของพระองค์ กษัตริย์ผู้ครองราชเป็นองค์ต่อไปคือ พระเจ้าธรณินทรวรมันที่ 2 (ธรณินทรวรรมันที่ 2)
เหตุที่พระองค์ทรงเป็นมหาราช
การปกครองอาณาจักรขอมในสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ประวัติศาสตร์นั้นมีน้อยมาก มีประวัติศาสตร์เพียงการทำสงครามกับอาณาจักรอื่นเท่านั้น แต่ก็มีเหตุที่ทำให้พระองค์ได้รับยกย่องเป็นมหาราชของโลกพระองค์หนึ่งเพราะ
  • ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่
  • ทรงทำสงครามกับอาณาจักรอื่นมากมาย
  • ทรงสร้างนครวัด มรดกโลกของกัมพูชาและสิ่งมหัศจรรย์ของโลก




พระเจ้าชัยวรมันที่ 7


พระเจ้าชัยวรมันที่ 7เป็นกษัตริย์ของอาณาจักรเขมรที่ยิ่งใหญ่ (พ.ศ. 1724 - พ.ศ. 1762?) ในบริเวณที่เป็นประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน ทรงเป็นพระโอรสของพระเจ้าธรนินทรวรมันที่ 2 (ครองราชย์ ค.ศ. 1150 - 1160) และพระนางศรี ชยราชจุฑามณี พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงเป็นที่รู้จักในฐานะผู้สถาปนานครธม นครหลวงแห่งสุดท้ายของอาณาจักรเขมร ในประเทศกัมพูชายังมีสระน้ำแห่งหนึ่งที่พระเจ้าชัยวรมันที่7 ทรงใช้เป็นประจำอีกด้วย
พระราชประวัติ
พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าธรณินทรวรมันที่ 2 ทรงประสูติเมื่อประมาณ พ.ศ.1663 หรือ พ.ศ.1668 พระนามเดิมคือเจ้าชายวรมัน ทรงเสกสมรสตั้งแต่ทรงพระเยาว์กับเจ้าหญิงชัยราชเทวี สตรีที่มีบทบาทและอิทธิพลสำคัญที่สุดเหนือพระองค์ รวมทั้งโน้มนำให้พระองค์หันมานับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน
ราว พ.ศ. 1720 1721 พระเจ้าชัยอินทรวรมันแห่งอาณาจักรจามปา ทรงนำทัพจามบุกเข้าโจมตียโศธรปุระ กองทัพเรือจามบุกเข้าถึงโตนเลสาบ เผาเมือง และปล้นสะดมสมบัติกลับไปเป็นจำนวนมาก รวมทั้งจับพระเจ้าตรีภูวนาทิตวรมันประหารชีวิต เชื่อกันว่า การรุกรานเมืองยโศธปุระครั้งนั้น เจ้าชายวรมันได้วางเฉยยอมให้เมืองแตก จากนั้นพระองค์จึงกู้แผ่นดินขึ้นมาใหม่ โดยนำทัพสู้กับพวกจามนานถึง 4 ปี จนสามารถพิชิตกองเรือจามผู้เชี่ยวชาญการเดินเรือได้อย่างราบคาบ ในยุทธการทางเรือที่โตนเลสาบ
พ.ศ. 1724 ยโศธปุระกลับสู่ความสงบ พระองค์ทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ ทรงพระนามว่า พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 พร้อมกับบูรณปฏิสังขรณ์ราชธานีขึ้นมาใหม่ รู้จักกันในชื่อ เมืองพระนครหลวงหรือ นครธมหรือ นครใหญ่ และย้ายศูนย์กลางของราชธานีจากปราสาทปาปวนในลัทธิไศวนิกาย มายังปราสาทบายนที่สร้างขึ้นใหม่ ให้เป็นศาสนสถานในลัทธิมหายานแทน จากนั้นมา ศูนย์กลางแห่งอาณาจักรเขมรโบราณก็คือ ปราสาทบายน หรือนครธม
พระองค์ทรงสถาปนาคติ พระพุทธเจ้าที่ยังมีชีวิตหรือ พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรขึ้นมา ซึ่งหมายถึงตัวพระองค์เอง คือพระโพธิสัตว์ที่เกิดมาเพื่อปัดเป่าทุกข์ภัยให้แก่ราษฎร ภาพสลักรูปใบหน้าที่ปรากฏตามปรางค์ในหลายปราสาทที่ทรงสร้างขึ้น เชื่อว่าคือใบหน้าของพระองค์ในภาคพระโฑธืฃิสัตว์อวโลกิเตศวรนั่นเอง
หลังจากสถาปนาศูนย์กลางอาณาจักรแล้ว พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 จึงทรงแก้แค้นศัตรูเก่าคืออาณาจักรจามปา ใน พ.ศ. 1733 กองทัพของพระองค์ก็สามารถยึดเมืองวิชัยยะ เมืองหลวงของจามปาได้ นอกเหนือจากการสงครามแล้ว พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ได้สร้างพุทธสถานไว้มากมาย เช่น ปราสาทบันทายคดี ปราสาทตาพรม ที่สร้างถวายพระมารดา ปราสาทพระขรรค์ สร้างถวายพระบิดา ปราสาทตาโสม ปราสาทนาคพัน ปราสาทบันทายฉมาร์ ในเขตประเทศไทยปัจจุบัน พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เป็นผู้บูรณะปราสาทหินพิมายและปราสาทเขาพนมรุ้ง ให้เป็นศาสนสถานในพุทธศาสนาลัทธิมหายาน
นอกจากนี้ พระองค์ยังโปรดให้สร้าง บ้านมีไฟหรือที่พักคนเดินทาง ซึ่งก่อด้วยศิลา และจุดไฟไว้ตลอด ศาสตราจารย์ หลุยส์ ฟิโนต์ ผู้อำนวยการคนแรกของสำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบูรพาทิศ เรียกอาคารแบบนี้ว่า ธรรมศาลา
จารึกที่ปราสาทพระขรรค์ กล่าวถึงที่พักคนเดินทางว่ามีจำนวน 121 แห่ง อยู่ตามทางเดินทั่วราชอาณาจักร และตามทางเดินไปเมืองต่างๆ ในจำนวนนั้น มี 17 แห่งอยู่ระหว่างการเดินจากเมืองพระนครไปยังเมืองพิมาย ซึ่งศาสตรจารย์ ม.จ. สุภัทรดิศ ดิศกุล พบว่าที่พักคนเดินทางเท่าที่ค้นพบแล้วมี 7 แห่ง แต่ละแห่งห่างกันประมาณ 12 15 กิโลเมตร .. เข้าใจว่าอาจารย์เจี๊ยบ ค้นพบเพิ่มเติมอีกหลายแห่ง
จารึกปราสาทพระขรรค์ระบุอีกว่า มีการสร้างโรงพยาบาล หรือที่จารึกเรียกว่า อโรคยาศาลาจำนวน 102 แห่ง กระจายอยู่ทั่วราชอาณาจักร ซึ่งมีส่วนหนึ่งอยู่ในเขตประเทศไทย
พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงสิ้นพระชนม์ในประมาณปี พ.ศ. 1758 หรือ พ.ศ.1762 เชื่อกันว่าทรงมีพระชนม์ชีพยืนยาวถึง 94 ปี ด้ฉลองพระนามหลังสวรรคตว่า มหาบรมสุคตะหมายความว่า พระพุทธเจ้าผู้ยิ่งใหญ่
นครธม


              พระพักตร์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ที่ประตูด้านใต้นครธม เป็นเมืองหลวงแห่งสุดท้ายและเมืองที่เข้มแข็งที่สุดของอาณาจักรขะแมร์ สถาปนาขึ้นในปลายคริสต์ศวรรษที่ 12 โดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่ 9 ตารางกิโลเมตร อยู่ทางทิศเหนือของ นครวัด ภายในเมืองมีสิ่งก่อสร้างมากมายนับแต่สมัยแรกๆ และที่สร้างโดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และรัชทายาท ใจกลางพระนครเป็นปราสาทหลักของพระเจ้าชัยวรมัน เรียกว่า ปราสาทบายน และมีพื้นที่สำคัญอื่นๆ รายล้อมพื้นที่ชัยภูมิถัดไปทางเหนือประตูทางเข้านครธมด้านใต้จุดเด่นที่สุดคือทางเข้าด้านใต้ ที่มีลักษณะเป็นหน้า 4 หน้า ก่อนจะเข้าสู่บริเวณนี้ จะเป็นแถวของยักษ์ (อสูร) ทางด้านขวา และเทวดาทางด้านซ้าย เรียงรายแบกพญานาคอยู่สองข้างสะพาน เมื่อเข้าสู่ใจกลางนครธมจะพบสิ่งก่อสร้างต่างๆ บริเวณประตูด้านใต้นี้ได้รับการอนุรักษ์ฟื้นฟูไว้ได้ดีกว่าบริเวณอื่นๆ อีก 3 ด้าน


ที่มา . พระเจ้าชัยยวรมันที่  7 (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก  http://th.wikipedia.org/wiki.   สืบค้นเมื่อ
                                   วันที่  26   สิงหาคม  2554

ปราสาทหินพนมรุ้ง


 สร้างขึ้นจากหินทรายสีชมพู ตั้งอยู่บนยอดเขาพนมรุ้งสูง 1,320 ฟุตจากระดับน้ำทะเล ชื่อพนมรุ้งแปลว่าภูเขาใหญ่ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 15 – 18 จารึกต่างๆที่นักวิชาการได้อ่านและแปลพอจะสรุปได้ว่า พระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 3 กษัตริย์แห่งเมืองพระนคร (พ.ศ.1487 – 1511)ได้สถาปนาเทวาลัยถวายพระอิศวรที่ขาพนมรุ้ง ซึ่งในสมัยแรกๆคงยังไม่ใหญ่โตนัก ต่อมาพระเจ้าชัยวรมันที่ 5 (พ.ศ.1511 – 1544)ได้ทรงอุทิศที่ดินและข้าทาสถวายแด่เทวสถานพนมรุ้ง ในสมัยพุทธศตวรรษที่ 17 นเรนทราทิตย์ เจ้านายแห่งราชวงศ์มหิทรปุระที่ปกครองดินแดนแถบนี้ (ซึ่งเป็นต้นตระกูลของ พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ผู้สร้างนครวัด) ได้สร้างปราสาทแห่งนี้ขึ้นและได้ทรงบำเพ็ญพรตเป็นโยคี ณ ปราสาทพนมรุ้พนมรุ้ง เป็นชื่อดั้งเดิม ซึ่งปรากฏหลักฐานตามศิลาจารึกที่ค้นพบปราสาทแห่งนี้ ปราสาทพนมรุ้งสร้างขึ้นเนื่องในศาสนาฮินดูลัทธิไศวนิกาย ซึ่งนับถือ พระศิวะเป็นเทพเจ้าสูงสุด ดังนั้น เขาพนมรุ้งจึงเปรียบเสมือนเขาไกรลาสที่ประทับของพระศิวะ  องค์ประกอบและแผนผังของปราสาทพนมรุ้งได้รับการออกแบบให้มีลักษณะเป็นแนวเส้นตรง และเน้นความสำคัญเข้าหาจุดศูนย์กลาง นั่นคือปราสาทประธานซึ่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ด้านขวาของบันไดทางขึ้นสู่ศาสนสถานมีอาคารที่เรียกว่า พลับพลา อาคารนี้อาจจะเป็นอาคารที่เรียกกันในปัจจุบันว่า พลับพลาเปลื้องเครื่อง ซึ่งเป็นที่พักจัดเตรียมองค์ของพระมหากษัตริย์ ก่อนเสด็จเข้าสู่การสักการะเทพเจ้า หรือประกอบพิธีกรรมในบริเวณศาสนสถาน ถัดจากนั้นเป็นทางเดินทั้งสองข้างประดับด้วยเสามียอคล้ายดอกบัวตูมเรียกว่าเสานางเรียง จำนวนข้างละ 34 ต้น ทอดตัวไปยังสะพานนาคราช ซึ่งผังกากบาทยกพื้นสูง ราวสะพานทำเป็นลำตัวพญานาค 5 เศียร สะพานนาคราชนี้ ตามความเชื่อเป็นทางที่เชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับเทพเจ้า สิ่งที่น่าสนใจคือ จุดกึ่งกลางสะพาน มีภาพจำหลักรูปดอกบัวแปดกลีบ อาจหมายถึงเทพประจำทิศทั้งแปด ในศาสนาฮินดู หรือเป็นจุดที่ผุ้มาทำการบูชา ตั้งจิตอธิษฐาน จากสะพานนาคราชชั้นที่ 1 มีบันไดจำนวน 52 ขั้นขึ้นไปยังลานบนยอดเขา ที่หน้าซุ้มประตูระเบียงคดทิศตะวันออก มีสะพานนาคราชชั้นที่ 2 ระเบียงคดก่อเป็นห้องยาวต่อเนื่องกัน เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ารอบลานปราสาทแต่ไม่สามารถเดินทะลุถึงกันได้ เพราะมีผนังกั้นอยู่เป็นช่วงๆ มีซุ้มประตูกึ่งกลางของแต่ละด้าน ที่มุมระเบียงคดทำเป็นซุ้มกากบาท ที่หน้าบันของระเบียงคดทิศตะวันออกด้านนอก มีภาพจำหลักรูปฤาษีซึงหมายถึงพระศิวะในปางที่เป็นผู้รักษาโรคภัยไข้เจ็บ และอาจรวมหมายถึง นเรนทราทิตย์ ผู้ก่อสร้างปราสาทประธานแห่งนี้ด้วย  ปราสาทประธาน ก่อด้วยหินทรายสีชมพูมีผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุมกว้าง 8.20 เมตรสูง 27 เมตร ด้านหน้าทำเป็นมณฑปโดยมีอันตราละหรือฉนวนเชื่อมปราสาทประธานนี้ เชื่อว่า สร้างโดย นเรนทราทิตย์ ซึ่งเป็นผู้นำปกครองชุมชนที่มีปราสาทพนมรุ้งเป็นศูนย์กลาง ราว พุทธศตวรรษที่ 17 ภายในเรือนธาตุตรงกึ่งกลาง เรียกว่าห้องครรภคฤหะ เป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพที่สำคัญที่สุด ในที่นี้คือ ศิวลึงค์ ซึ่งแทนองค์พระศิวะ เป็นที่น่าเสียดายว่า ประติมากรรมชิ้นนี้ได้สูญหายไป เหลือเพียงแต่ ท่อโสมสูตร คือร่องน้ำมนต์ที่ใช้รับน้ำสรงจากการสักการะศิวะลึงค์เท่านั้น ทางเดินด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และทิศตะวันตกเฉียงใต้ของปราสาทประธาน มีปราสาทอิฐสององค์และปรางค์น้อย จากหลักฐานทางด้านสถาปัตยกรรมและศิลปกรรม กล่าวได้ว่า ปราสาททั้งสามหลังได้สร้างขึ้นก่อนปราสาทประธานราวพุทธศตวรรษที่ 15 และ 16 ตาลำดับ ส่วนทางด้านหน้าของปราสาทประธาน คือทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และทิศตะวันออกเฉียงใต้ มีอา๕รสองหลัง ก่อด้วยศิลาแลง เรียกว่าบรรณาลัย ซึ่งเป็นที่เก็บรักษาคัมภีร์ทางศาสนา ก่อสร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 18 ที่บริเวณหน้าบันและทับหลังของปราสาทประธานมีภาพจำหลักแสดงเรื่องราวในศาสนาฮินดู เช่นพระศิวนาฏราช (ทรงฟ้อนรำ) พระนารายณ์บรรทมสินธุ์อวตารของพระนารายณ์ เช่น พระรามในเรื่องรามเกียรติ์ หรือพระกฤษณะ ภาพพิธีกรรม ภาพชีวิตประจำวันของฤาษีเป็นต้น
กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนปราสาทพนมรุ้งเป็นโบราณสถานของชาติเมื่อปี พ.ศ. 2475 ประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 52 ตอนที่ 75 ต่อมาได้ดำเนินการบูรณะตั้งปี พ.ศ. 2514 จนเสร็จสมบูรณ์ มีการพัฒนาและปรับปรุงดำเนินการเป็นอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จมาเป็นองค์ประธานในพิธีเปิด เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ.2531
ศาสนสถานแห่งนี้ตั้งอยู่บนยอดภูเขาไฟ อาจเป็นเพราะภูเขามีความสูงไม่มากนักและปากภูเขาไฟยังเป็นแอ่งน้ำธรรมชาติอีกด้วย ประการสำคัญคือความเชื่อของคนพื้นถิ่นในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่นับถืออำนาจเหนือธรรมชาติ เชื่อว่าในธรรมชาติมีวิญญาณที่สามารถดลบันดาลให้เกิดสิ่งที่ดีและไม่ดีได้แก่มนุษย์ได้ จึงมีการนับถือภูเขา ป่าไม้ แม่น้ำ ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับการดำรงชีวิตในอดีต นอกจากนี้ การสร้างปราสาทบนภูเขายังพ้องกับคตความเชื่อในศาสนาฮินดูที่เปรียบปราสาทหินดั่งเทวาลัยของเทพเจ้าบนยอดเขาพระสุเมรุ ศูนย์กลางแห่งจักรวาล ชุมชนที่เขาพนมรุ้งเป็นชุมชนขนาดใหญ่ เพราะนอกจากมีบารายหรืออ่างเก็บน้ำ ซึ่งใช้ในพื้นที่ส่วนหนึ่งของปากปล่องภูเขาไฟเดิมเป็นอ่างเก็บน้ำอยู่บนเขาอยู่แล้ว ที่เชิงเขามีบารายอีก 2 สระ คือสระน้ำหนองบัวบารายที่เชิงเขาพนมรุ้ง และสระน้ำโคกเมืองใกล้ปราสาทเมืองต่ำ สระน้ำบนพื้นราบเบื้องล่างภูพนมรุ้งนี้รับน้ำมาจากธารน้ำที่ไหลมาจากบนเขา นอกจากนี้ยังมีกุฏิฤาษีอยู่ 2 หลัง เป็นอโรคยาศาลที่รักษาพยาบาลของชุมชนอยู่เชิงเขาด้วย บริเวณที่ตั้งของปราสาทพนมรุ้งอาจเคยเป็นที่ตั้งของศาสนพื้นถิ่นมาก่อนที่จะมีการก่อสร้างขึ้นเป็นปราสาท ที่มีความใหญ่โตงดงาม สมกับเป็น กมรเตงชคตวฺนํรุง ผู้เป็นเทพเจ้าแห่งปราสาทพนมรุ้ง อันหมายถึงองค์พระศิวะในศาสนาฮินดูที่กษัตริย์ขอมทรงนับถือ การเปลี่ยนสถานที่เคารพพื้นถิ่นให้เป็นปราสาทกินตามแบบคติขอม น่าจะเกี่ยวเนื่องกับ การเปลี่ยนลักษณะการเมืองการปกครอง ที่ผู้นำท้องถิ่นมีความสัมพันธ์กับกษัตริย์ขอมโดยใช้ระบบความเชื่อมทางศาสนา วัฒนธรรมและวัฒนธรรมท้องถิ่น  จะเห็นได้ว่าปราสาทพนมรุ้งไม่เพียงแต่จะมีความโดดเด่นในด้านการวางผังที่สัมพันธ์กับภูมิประเทศแล้ว การตกแต่งด้วยภาพจำหลักหินที่ทับหลังและหน้าบันยังเป็นเอกลักษณ์อีกอย่างของปราสาทหินสีชมพูแห่งนี้ นอกจากงดงามด้วยฝีมือช่างแล้ว ยังเผยให้เราได้รู้ถึงเรื่องราวเกี่ยวกับปราสาทแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นภาพที่บอกถึงการเป็นเทวสถานของพระศิวะ ภาพพิธีกรรมต่างๆและภาพเรื่องราวจากมหากาพย์ของอินเดียคือรามายณะและมหาภารตะ เป็นต้น  ปราสาทพนมรุ้งได้รับการบูรณะด้วยกรรมวิธีอนัสติโลซิส ซึ่งเป็นการบูรณะโบราณสถานโดยทำสัญลักษณ์ของชิ้นส่วนต่างๆก่อนจะรื้ออกเพื่อเสริมรากฐาน และนำชิ้นส่วนต่างๆมาประกอบขึ้นใหม่ตามเดิมซึ่งวิธีการเช่นนี้ใช้กับปราสาทหินหลายแห่ง เช่นปราสาทหินพิมาย ปราสาทพนมวัน เป็นต้น  ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 (เมษายน) ของทุกปีมีงานประเพณีขึ้นเขาพนมรุ้งซึ่งเป็นงานใหญ่ประจำปี โดยในวันนี้พระอาทิตย์แรกแห่งอรุณจะสาดส่องทะลุผ่านประตูทั้ง 15 ช่องชาวบ้านจะเดินเท้าขึ้นมาเพื่อชมความอลังการที่ผสานระหว่างธรรมชาติและสิ่งก่อสร้างของบรรพชนสถานที่ตั้ง ปราสาทพนมรุ้ง ตั้งอยู่ที่บ้านตาเป๊ก อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดบุรีรัมย์ เวลาทำการ 06.00 น. – 18.00 น. ค่าเข้าชม ชาวไทย 10 บาท ชาวต่างชาติ 40 บาท


ที่มา .  ปราสาทหินพนมรุ้ง (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก  http://th.wikipedia.org/wiki.   สืบค้นเมื่อ
                                   วันที่  26   สิงหาคม  2554


  ปราสาทหินพิมาย


เป็นปราสาทขอมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ตั้งอยู่ที่จังหวัดนครราชสีมา (โคราช) สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ - ๑๗ ในสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ กษัตริย์แห่งอาณาจักรขอม ด้วยศิลปะแบบปาปวนเช่นเดียวกับปราสาทหินพนมวัน และปราสาทหินพนมรุ้ง แต่แตกต่างกันตรงที่ปราสาทหินพิมายจะหันหน้าไปยังทิศใต้คือประเทศเขมร หน้ากำแพงชั้นนอก ด้านซ้ายมือของทางเดินเข้าสู่ปราสาทจะมี
พลับพลา ซึ่งเป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เป็นที่เตรียมพระองค์สำหรับกษัตริย์หรือเจ้านายชั้นสูงเพื่อที่จะเปลี่ยนเครื่องทรงและจัดของสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในปราสาท เดิมเรียกว่า คลังเงิน เพราะได้ขุดพบโบราณวัตถุเป็นจำนวนมาก ทั้งรูปเคารพ เครื่องประดับและเหรียญสำริดเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๑ ในการเดินทางเข้าสู่ศาสนสถานอันศักดิ์สิทธิ์จะเริ่มต้นที่ สะพานนาคราช ซึ่งทำเป็นรูปพญานาคเจ็ดเศียรแผ่พังพานอยู่เพื่อนำไปสู่ ซุ้มประตู หรือ โคปุระ และ กำแพงแก้ว เมื่อเดินผ่านกำแพงแก้วแล้วก็จะถึง ชานชาลา ซึ่งเป็นทางเดินที่ก่อสร้างด้วยหินทรายเป็นเส้นทางนำไปสู่ ระเบียงคด ซึ่งมีซุ้มประตูอยู่ตรงกลางเช่นเดียวกับกำแพงแก้ว จากนั้นก็จะถึง ปราสาทประธาน หอพราหมณ์ ปรางค์หินแดง และ ปรางค์พรหมทัต โดยที่ทับหลังหรือหน้าบันของปราสาทประธานทางด้านทิศใต้ (ด้านหน้าปราสาท) จะเป็นรูป ศิวนาฏราช ส่วนทางด้านทิศอื่นๆ จะเป็นภาพเรื่องเล่าจาก รามเกียรติ์ และเรื่องราวทาง พุทธศาสนา และภายในห้อง ครรภคฤหะ จะมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่
ที่สำคัญของภูมิภาค มีเส้นทางคมนาคมเชื่อมโยงกับเมืองสำคัญทางตอนเหนือของลาวและทางตอนใต้ของขอม เมื่อชมปราสาทหินพิมายแล้วควรแวะชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย ซึ่งจัดเก็บโบราณวัตถุสำคัญจากปราสาทแห่งนี้ไว้ พิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้กัน
         ปราสาทหินพิมาย หันหน้าไปทางทิศใต้ไปทางที่ตั้งของเมืองพระนครซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรขอม ปราสาทหินพิมายมีแบบแปลนเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 565 ม. ยาว 1,030 ม. ล้อมรอบด้วยคูน้ำ มีประตูเมืองทั้งสี่ทิศ ภายในบริเวณปราสาทหินมีโบราณสถานที่น่าสนใจหลายแห่งโดยเริ่มตั้งแต่ทางเข้าตามลำดับดังนี้
คลังเงิน
        จากประตูชัยเข้าไปก่อนถึงตัวปรางค์ จะเห็นคลังเงินตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก หรือทางด้านซ้ายมือ ปัจจุบันอาคารคลังเงินเหลือเพียงซากฐานขนาดใหญ่ เหตุที่เรียกอาคารหลังนี้ว่า "คลังเงิน" เพราะเคยพบเหรียญสำริดโบราณซึ่งด้านหนึ่งเป็นรูปครุฑหรือหงส์ อีกด้านหนึ่งเป็นอักษรโบราณ นอกจากนี้ยังพบทับหลังจำหลักเป็นรูปคนกำลังหลั่งน้ำมอบม้าแก่พราหมณ์
สะพานนาค
        เป็นทางที่ทอดนำเข้าสู่ตัวปรางค์ มีนาคทอดตัวยาวเป็นราวบันได ชูเศียรทั้งเจ็ดแผ่พังพานเปล่งรัศมีอย่างสวยงาม นาคเป็นสัตว์มงคลที่มักพบตามโบราณสถาน ที่ได้รับอิทธิพลจากคติของศาสนาฮินดู หรือพราหมณ์ซึ่งเชื่อว่านาคทอดร่างเป็นทางเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับสวรรค์ที่เชิงบันไดนาคทั้งสองข้างมีสิงห์จำหลักจากหินประดับอยู่ข้างละตัว สิงห์มีท่าทางองอาจเสมือนเป็นผู้พิทักษ์โบราณสถาน ลักษณะทางศิลปกรรมของสิงห์และนาคนี้ คล้ายศิลปะที่นครวัดที่สร้างในช่วงรัชกาลพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 (พ.ศ. 1656-1688)
ซุ้มประตู หรือโคปุระชั้นนอก
        มีทั้งหมดสี่ด้านอยู่กึ่งกลางแนวกำแพง ลักษณะการสร้างเหมือนกันทุกด้านคือมีขนาดกว้างสามคูหามีเสาศิลา ช่องลมประดับข้างละสองช่อง เคยพบทับหลังชิ้นหนึ่งที่โคปุระด้านทิศตะวันตก สลักเป็นรูปขบวนแห่พระพุทธรูปนาคปรกประดิษฐานบนคานหาม ทับหลังชิ้นนี้ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย

พระระเบียง
        เมื่อมาถึงระเบียงก็ถือว่าเข้าสู่เขตชั้นในของปราสาทหินแล้ว พระระเบียงแต่ละด้านมีซุ้มประตูหรือโคปุระชั้นในอยู่กึ่งกลาง ที่น่าสนใจคือที่กรอบประตูด้านทิศใต้มีจารึกบนแผ่นหิน เป็นอักษรเขมรโบราณกล่าวถึงการสร้างเมืองพิมาย และการสร้างรูปเคารพ         จากพระระเบียงจะเข้าสู่ชั้นในซึ่งเป็นส่วนสำคัญของปราสาทหินพิมาย มีปรางค์สามองค์ตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน คือ ปรางค์ประธาน ปรางค์พรหมทัต และปรางค์หินแดง
ปรางค์ประธาน
        มีขนาดใหญ่ที่สุดในจำนวนปรางค์ทั้งสามองค์ สร้างขึ้นช่วงพุทธศตวรรษที่ 16-17 หันหน้าไปทางทิศใต้ ต่างจากปราสาทขอมแห่งอื่น ๆ ที่มักจะหันหน้าไปทางทิศตะวันออก สันนิษฐานว่าหันไปยังที่ตั้งเมืองพระนคร ซึ่งเป็นเมืองหลวงศูนย์กลางอำนาจของขอมในอดีต บ้างก็ว่าเป็นคติทางพุทธศาสนาที่ถือทิศใต้เป็นทิศแห่งการมีชีวิต องค์ปรางค์ตั้งอยู่บนฐานสูงสองชั้นสลักลวดลายต่าง ๆ เช่น ลายประจำยาม ลายกลีบบัวอย่างสวยงาม ก่อด้วยหินทรายสีขาวทำเป็นชั้นซ้อนกันขึ้นไปห้าชั้น ที่ส่วนยอดจำหลักเป็นรูปครุฑแบกทั้งสี่ทิศ เหนือขึ้นไปสลักเป็นรูปเทพประจำทิศต่าง ๆ และรูปดอกบัว นับเป็นลักษณะสถาปัตยกรรมที่ต่างจากปราสาทหินที่พบทั่วไป จากองค์ปรางค์ประธานมีมุขเชื่อมต่อกับห้องรูปสี่เหลี่ยมทางด้านทิศใต้หรือด้านหน้า ทำให้ภายในปรางค์ดูกว้างขวาง ทับหลังและหน้าบันที่ประดับองค์ปรางค์ประธานส่วนใหญ่เล่าเรื่องรามายณะ และคติความเชื่อในศาสนาฮินดูหรือพราหมณ์ เช่น หน้าบันด้านทิศใต้ หรือด้านหน้าก่อนเดินเข้าในองค์ปรางค์เป็นภาพศิวนาฏราช หรือพระศิวะฟ้อนรำ 108 ท่า ในศาสนาฮินดูเชื่อว่า เมื่อใดที่พระศิวะฟ้อนรำผิดจังหวะ เมื่อนั้นโลกก็จะเกิดกลียุค นอกจากนี้ยังมีทับหลังที่จำหลักภาพอันเป็นหลักฐานสำคัญ ว่าปราสาทหินพิมายเป็นศาสนสถานในพุทธศาสนา คือภาพพุทธประวัติตอน "มารวิชัย" และพระโพธิสัตว์ในพุทธศาสนาลัทธิมหายาน


ที่มา .  ปราสาทหินพิมาย (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก  http://th.wikipedia.org/wiki.   สืบค้นเมื่อ
                                   วันที่  26   สิงหาคม  2554


ปราสาทหินพรหมทัต

       

ก่อด้วยศิลาแลง สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (พ.ศ. 1724-1761) เมื่อคราวที่พระองค์ทรงบูรณะปราสาทหินพิมาย ภายในปรางค์พบประติมากรรมศิลารูปบุคคลขนาดใหญ่นั่งขัดสมาธิ ชาวบ้านเรียกกันว่าท้าวพรหมทัต แต่นักโบราณคดีเชื่อว่าเป็นพระบรมรูปของพระเจ้าชัย-วรมันที่ 7 และพบรูปผู้หญิงนั่งคุกเข่าที่ชาวบ้านเรียกว่า นางอรพิมพ์ ในตำนานอรพิมพ์ ปาจิตต ซึ่งเป็นเรื่องเล่าในท้องถิ่น จนกลายเป็นชื่อบ้านนามเมืองในย่านเมืองพิมาย ประติมากรรมที่พบดังกล่าวสภาพไม่สมบูรณ์ ปัจจุบันนำไปจัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย
ปรางค์หินแดง
        ตั้งอยู่ด้านขวาของปรางค์ประธาน ก่อด้วยหินทรายสีแดง มีอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 17 ในสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ซึ่งทรงนับถือศาสนาพราหมณ์ลัทธิไวษณพนิกาย และได้พบศิวลึงค์ในหอพราหมณ์ซึ่งตั้งอยู่ติดกับปรางค์หินแดงถึงเจ็ดองค์ จึงสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นสถานที่ที่ประกอบพิธีทางศาสนาพราหมณ์
บรรณาลัย
        เป็นอาคารก่อด้วยหินทรายสีแดงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ายกพื้นสูง ตั้งอยู่ใกล้ซุ้มประตูทิศตะวันตก นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าเป็นที่เก็บรักษาตำราทางศาสนา หรืออาจเป็นที่ประทับของกษัตริย์เมื่อเสด็จมาทรงประกอบพิธีกรรม
สระน้ำ หรือบาราย
        โบราณสถานเขมรมักมีสระน้ำ หรือที่ภาษาเขมรเรียกว่าบาราย อยู่คู่กันแทบทุกแห่ง เป็นสระที่ขุดขึ้นเพื่อเก็บกักน้ำไว้อุปโภคบริโภค บางคนก็เชื่อว่าเป็นสระน้ำศักดิ์สิทธิ์เพื่อใช้ในการประกอบพิธีกรรม บริเวณเมืองพิมายมีบารายอยู่หลาย แห่งที่อยู่ภายในกำแพงเมือง คือ สระแก้ว สระพรุ่ง และสระขวัญ นอกเขตกำแพงเมืองคือสระเพลง อยู่ทางทิศตะวันออก สระโบสถ์ อยู่ทางทิศตะวันตก
ประตูชัย
        เป็นหนึ่งในประตูเมืองซึ่งมีอยู่ทั้งสี่ทิศ ประตูชัยอยู่ทางด้านทิศใต้ของปราสาทหินพิมายรับกับถนนโบราณที่ทอดตรงมาจากเมืองพระนครในเขมร มีแผนผังการก่อสร้างเหมือนกันทุกประตู คือเจาะเป็นช่องสูงเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ก่อด้วยศิลาแลง ด้านข้างทั้งสองด้านของประตูมีห้องอยู่สามห้อง เทคนิคการสร้างประตูเมืองนี้บ่งบอกว่าอยู่ในยุคสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทำให้สันนิษฐานได้ว่าประตูเมืองคงได้รับการสร้างเพิ่มเติมขึ้นภายหลังในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7
กุฏิฤาษี
        บริเวณที่ตั้งกุฏิฤาษีเป็นจุดสิ้นสุดของถนนโบราณที่มีต้นทางจากเมืองพระนครในเขมร แต่ไม่เหลือร่องรอยถนนไว้ให้เห็นเพราะเป็นที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน กุฏิฤาษีเชื่อว่าเป็นอโรคยาศาลสร้างขึ้นช่วงรัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ซึ่งเป็นยุครุ่งเรืองแห่งอาณาจักรขอม พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้สร้างอโรคยาศาลตามเส้นทางโบราณไว้เป็นจำนวนมาก ปัจจุบันนี้เหลือให้เห็นเพียงซากกำแพงศิลาแลงกับปราสาทเท่านั้น ท่านางสระผม
        เป็นโบราณสถานนอกกำแพงเมือง ตั้งอยู่ริมลำน้ำเค็มทางทิศใต้ของเมือง เดิมทีเป็นเพียงเนินดินใหญ่ที่มีเศษภาชนะดินเผาและเศษกระเบื้อง กระทั่งได้รับการขุดแต่งขึ้นในปี พ.ศ. 2531 จึงพอเห็นรูปรอยว่าเป็นอาคารทรงกากบาทก่อด้วยศิลาแลงมีฐานเป็นชั้น ๆ และพบร่องรอยหลุมขนาดเล็กอยู่ที่มุมอาคารทุกจุด นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าคงเป็นศาลาจัตุรมุข ซึ่งเป็นท่ารับเสด็จเจ้านายทางฝั่งพิมาย เพราะเป็นท่าน้ำแห่งเดียวที่อยู่ในแนวถนนโบราณห่างจากท่านางสระผมไปเล็กน้อยมีสระน้ำรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดกว้าง 200 ม. ยาว 400 ม. เรียกว่าสระช่องแมว แต่ไม่ปรากฏเรื่องราวว่ามีความสำคัญใด

ที่มา .  ปราสาทพรหมทัต (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก  http://th.wikipedia.org/wiki.   สืบค้นเมื่อ
                                   วันที่  26   สิงหาคม  2554

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น